Dr. Lindsay Machan and Dr. William Hunter developed a drug-delivery technique that has revolutionized the treatment of coronary artery disease (CAD) and advanced the science of localized drug delivery. Over 1.8 million TAXUS TM paclitaxel-eluting stents were implanted in patients in the first two years after approval, helping treat CAD, a leading cause of cardiovascular disease.
See http://www.manningawards.ca/awards/wi
More Informations
>http://www.youtube.com/watch?v=mjKd-TO0UOA&feature=related
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Drug-delivery
Drug-Eluting Stents
ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสายสวนหลอดเลือดที่มีส่วนประกอบของยา
(Drug-Eluting Stents)
( สัปดาห์ที่ 2 เดือนตุลาคม พ.ศ.2550)
การใส่สายสวนหลอดเลือดชนิดเคลือบยา(Drug-Eluting Stents)นั้นสามารถลดลดความต้องการในการทำ revascularization เนื่องจากการเกิดหลอดเลือดตีบซ้ำ (restenosis) หลังจากการขยายหลอดเลือดหัวใจ percutaneous coronary intervention (PCI) ได้ อย่างไรก็ตามมีรายงานในการเพิ่มขึ้นของการเกิดก้อนลิ่มเลือดอุดตันและความเป็นไปได้ในการเกิด myocardial infarction (MI) และการเสียชีวิตหลังจากการทำ PCI แม้ว่าจะมีการใช้ยา aspirin และ clopidogrel ซึ่งประโยชน์ในการใช้ Drug-Eluting Stents นั้นยังไม่ชัดเจน ในการศึกษานี้ได้เก็บข้อมูลจาก Ontario ประเทศ Canada ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2546 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2548 โดยการศึกษาเป็นแบบ cohort ทำการเปรียบเทียบผลลัพธ์ในผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ขดลวดชนิดเคลือบยาและไม่เคลือบยา โดย primary outcome คือ อัตราการทำ target-vessel revascularization, การเกิด MI และการเสียชีวิต ผลการศึกษาพบว่าอัตราการทำ target-vessel revascularization ในระยะเวลา 2 ปีของผู้ป่วยที่ใส่ขดลวดชนิดเคลือบยาต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง 2 หรือ 3 อย่างในการเกิด restenosis (เบาหวาน, small vessel และ long lesion) คือในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และ อัตราการเสียชีวิตหลังจากติดตามไปเป็นเวลา 3 ปี พบว่าในกลุ่มที่ใส่ขดลวดชนิดที่ไม่เคลือบยาพบได้สูงกว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่ใส่ขดลวดชนิดเคลือบยา ในขณะที่อัตราการเกิด MI ใน 2 ปี ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่าง 2 กลุ่ม จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า Drug-Eluting Stents มีประสิทธิภาพมากกว่าในการลด target-vessel revascularization ในผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิด restenosis โดยที่ไม่มีผลเพิ่มอัตราการเสียชีวิตหรือการเกิด MI อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
Reference : Tu JV et al. Effectiveness and safety of drug-eluting stents in Ontario. N Engl J Med 2007; 357:1393-402.
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ระบบนำส่งยา
การให้ยาแบบใหม่โดยผ่านโพลิเมอร์ไมโครชิปที่ฝังไว้ในร่างกาย
หากผลงานวิจัยของกลุ่มนักวิจัยเกี่ยวกับการให้ยา (Drug delivery) แบบใหม่ประสบผลสำเร็จ การรับประทานยาที่แพทย์สั่งหรือการฉีดยาจะกลายเป็นวิธีที่เก่าแก่ล้าสมัยไปทันที วิธีที่นักวิจัยกำลังศึกษาได้แก่การประดิษฐ์โพลิเมอร์ไมโครชิปซึ่งสามารถเก็บยาไว้จำนวนเป็นช่องๆหลายช่องและนำไปฝังไว้ในร่างกายคนไข้ ยาจะถูกปล่อยออกมาอย่างอัตโนมัติตามช่วงเวลาที่วางโปรแกรมไว้
ตัวโพลิเมอร์ไมโครชิปมีขนาดเท่าเหรียญ 10 เซนต์ และบางเท่ากับกระดาษจะบรรจุด้วยแอ่ง (Reservoir) จำนวนมาก ในแต่ละแอ่งจะเก็บตัวยาตัวเดียวและปิดผนึกด้วยเยื่อ (Membrane) ซึ่งทำจากสารโพลิเมอร์ โดยการผันแปรความยาวของเส้นโพลิเมอร์ที่ประกอบเป็นเยื่อนั้น นักวิจัยสามารถโปรแกรมเยื่อให้แตกออกปล่อยตัวยาออกมาในระยะเวลาที่กำหนดไว้
กลุ่มนักวิจัยดังกล่าวได้แก่ กลุ่มของ Massachusetts Institute of Technology (MIT) นำโดยนาย Robert Langer สามารถบังคับให้ยาปล่อยออกมาจากไมโครชิปในช่วง 35 ถึง 60 วันและคาดว่าจะพัฒนาให้ยาวนานถึง 140 วันได้
วิธีการแบบใหม่นี้เป็นการค้นพบที่สำคัญในวงการแพทย์เป็นการเปิดประตูไปสู่การบำบัดคนไข้ในรูปใหม่โดยเฉพาะกับคนไข้ที่ต้องใช้ยาเป็นช่วงๆ และมักลืมการรับประทานยาอยู่เสมอหรือกับการใช้วัคซีน เช่น วัคซีน Hepatitis B ซึ่งต้องมาหาแพทย์หลายๆครั้งเพื่อฉีดกระตุ้น เป็นต้น
ประโยชน์ของโพลิเมอร์ไมโครชิปแบบใหม่ที่ดีกว่าซิลิคอน ได้แก่ การที่โพลิเมอร์นั้นไม่จำเป็นต้องผ่าออกหลังจากยาหมดแล้ว เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์สามารถย่อยสลายเองได้อย่างช้าๆจนหมดไปในที่สุด
ปัจจุบันกลุ่มนักวิจัย MIT สามารถประดิษฐ์โพลิเมอร์ไมโครชิปที่มีแอ่งบรรจุได้ 36 ช่อง คาดว่าจะพัฒนาได้เพิ่มมากขึ้น และอนาคตอันใกล้นี้บริษัท Micro CHIPs เมือง Bedford มลรัฐแมสซาจูเซท กำลังวางแผนเพื่อการผลิตในเชิงพาณิชย์
(ที่มา: Science News, Volume 164, October 25, 2003)
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ระบบนำส่งยารักษามะเร็ง
Wednesday, 13 May 2009 14:56
รศ ดร สมลักษณ์ คงเมือง
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศิลปากร
การพัฒนาระบบยาในปัจจุบันมีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย และมีการพัฒนาการที่รวดเร็ว โดยมากจะเน้นกับตัวยาที่มีการรักษาโรคที่สำคัญ เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น พบว่าสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ คศ 2008 มีมะเร็งที่พบบ่อย 4 ชนิดได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำใส้ และ มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่ง มีการเพิ่มจำนวนผู้ป่วยอีก 50 % ของจำนวนคนไข้เดิม
ในการรักษาโรคมะเร็ง กระบวนการการคิดค้นยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประโยชน์ในการรักษาให้ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยลดอาการข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ปัญหาที่พบมากสำหรับกลุ่มยารักษาโรคมะเร็งคือเรื่องของ low therapeutic index ของตัวยา ซึ่งจะมีผลต่อความเป็นพิษของยานั้นๆ จึงมีนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหานี้ โดยสามารถทำได้ใน สอง ลักษณะได้แก่
1. สังเคราะห์ยาให้มีความจำเพาะกับเซลล์มะเร็ง ยาบางชนิดสามารถสังเคราะห์ได้เช่น imatinib mesylate , gefitnib, trastuzumab และ cetuximab โดยยาในกลุ่มนี้จะเป็นยาประเภท monoclonal antibody มีความสามารถจับเฉพาะกับเซลที่ต้องการรักษาได้ โดย จะไม่มีผลกระทบ หรือ ผลน้อยต่อเซลปกติของร่างกาย ทำให้เป็นที่ต้องการของการรักษาเป็นอย่างมาก จึงมีการศึกษาด้านนี้เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะมียาในกลุ่มนี้ออกจำหน่ายในอนาคตอันใกล้
2. การนำยารักษามะเร็งที่มีอยู่แล้ว มาบรรจุในระบบนำส่งยาที่เหมาะสม เพื่อจะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดี และป้องกันความเป็นพิษของยาต่อเนื้อเยื่อปกติ การศึกษาในประเภทนี้มีการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยเน้นเรื่องของการเตรียมระบบนำส่ง หรือ ตัวพา(carrier) เพื่อนำยาไปยังบริเวณต่างๆที่ต้องการออกฤทธิ์ ทั้งนี้สามารถแบ่งการศึกษาเป็น 2 ประเภท ได้แก่
2.1 การนำส่งยาแบบ passive targeting ได้แก่การนำส่งยา โดย อาศัยตัวพา(carrier) พาตัวยาสำคัญไปยังบริวณต้องการ ซึ่งเป็นไปตามลักษณะขนิดมะเร็งที่เกิดขึ้น โดยจะอาศัยปัจจัยของการเกิดมะเร็งมาเกี่ยวข้องได้แก่ กระบวนการ angiogenesis คือมีการขยายและเพิ่มจำนวนของเส้นเลือดบริเวณเซลมะเร็ง ทำให้เซลมะเร็งได้รับสารอาหารมากขึ้น จากปริมาณของเลือดที่เข้ามาหล่อเลี้ยงมากขึ้น ในกระบวนการนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มปริมาณ ของ growth factor หลายชนิด ส่งผลให้หลอดเลือดมีอาการอักเสบ และ บวม มากกว่าปกติ ในบริเวณที่เป็นมะเร็ง ซึ่งการอักเสบ บวมก่อให้เกิดหลอดเลือดบริเวณนั้น เกิดการขยายตัว ทำให้ผนังของเส้นเลือดบริเวณดังกล่าว บางลง และบางแห่งอาจจะมีรอยรั่วเกิดขึ้น ส่งผลทำให้ ตัวยาที่บรรจุในตัวพา สามารถหลุดเข้าสู่บริเวณเซลที่เป็นมะเร็ง แล้วสามารถนำยาให้ออกฤทธิ์ได้ ตัวพาในกรณีนี้มักจะมีประโยชน์ในแง่ของ การเพิ่มการละลายของตัวยาสำคัญหรือ สามารถทำให้ตัวยาสำคัญสามารถอยู่ในระบบหลอดเลือดนานมากขึ้น
2.2 การนำส่งยาแบบ active targeting ได้แก่ ใช้ตัวพาที่มีความสามารถพิเศษในการนำส่งยาไปเฉพาะที่ได้ หรือบริเวณเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ใช้ได้แก่ การใช้nanotechonology มาประยุกต์ รวมถึงการใช้สารในกลุ่ม polymer ที่ลักษณะพิเศษ นอกจากนี้แล้วจะมีการนำส่งบางส่วนของสารพันธุกรรม เพื่อช่วยในการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลมะเร็ง อาจจะอยู่ในลักษณะของ SiRNA หรือ Antisense oligodeoxynucleotide เป็นต้น
>ติดตามรายละอียดต่อที่